Jawbone UP3 รุ่นใหม่จาก Jawbone รูปแบบสายรัดแตกต่างจาก UP และ UP24 แต่ยังคงคอนเซปต์ดีไซน์เรียบง่าย บางเบา ไม่มีหน้าจอ

ความแตกต่างของ UP3 นอกจากดีไซน์ที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังมาพร้อมกับมัลติเซนเซอร์ ติดตามและวิเคราะห์กิจกรรมต่างๆได้ละเอียดและแม่นยำขึ้น สามารถวัดชีพจร (Resting Heart Rate)ได้อีกด้วย ซึ่งยังไม่มีเคยมีในรุ่นก่อนๆ นอกจากนี้ UP3 ออกแบบมาไซส์เดียว ดังนั้นไม่ว่าข้อมือจะเล็กใหญ่ หมดกังวลเรื่องไซส์ได้เลย

First look

  • สิ่งแรกที่เห็น Jawbone UP3 คือ แพคเกจที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อน ดูแข็งแรงขึ้น มีสีสันมากขึ้น บอกถึงคุณสมบัติหลักๆไว้หน้ากล่อง และสเปค UP3 และ โทรศัพท์รุ่นที่รองรับ
  • ด้านหลังกล่อง อธิบายถึงคุณสมบัติ UP3 สามารถบันทึกติดตามข้อมูลต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งค่อนข้างจะละเอียดมากๆ
  • ปิดกล่องออกมาแล้วพบ Jawbone UP3 , คู่มือ , สายชาร์จ โดยสายชาร์จ Jawbone UP3 แตกต่างจากรุ่นก่อน เพราะไม่ต้องถอดปลอกมาเพื่อชาร์จอีกแล้ว คราวนี้เป็นเหมือนแม่เหล็กดูดเข้ากับ UP3 ก็สามารถชาร์จได้เลย ไม่ต้องห่วงว่าปลอกจะหายอีก
  • ซูมสายชาร์จระยะใกล้ มีปุ่มเล็กๆ 4 ปุ่ม เอาไว้ดูดเข้ากับ UP3 ได้พอดิบพอดีขณะชาร์จ ซึ่งเป็นสายชาร์จเฉพาะเลยก็ว่าได้ หน้าตา UP3 ไม่มีหน้าจอ แต่มีไฟ LED 3 สี บอกสถานะต่างๆ
  • ด้านหลังมี 4 จุด เอาไว้เสียบสายชาร์จ พร้อมหน้าตาเซนเซอร์เทคโนโลยีใหม่จาก Jawbone ที่เรียกว่า Bioimpedance บันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ จำนวนก้าว กิจกรรม ซึ่งเทคโนโลยีนี้ใช้พลังงานน้อยในการบันทึกข้อมูลต่างๆ ทำให้แบตเตอรี่อยู่ได้นานถึง 7 วัน
  • ลักษณะการใส่สายรัดค่อนข้างต่างไปจากเดิม สำหรับ UP3 ทำออกมาไซส์เดียว สามารถปรับระดับสายให้พอดีกับแต่ละคน และปลดล๊อคสาย สังเกตเห็นจะมีคำว่า "Jawbone" ตรงตัวสาย 
  • ไฟ LED บอกสถานะ 3 สี : สีส้มสำหรับ กิจกรรม สีขาวสำหรับ Notifications สีฟ้าสำหรับ โหมดนอน เอาล่ะ !! เริ่มชาร์จแบตเตอรี่พร้อมใช้งานกันเลย

 

ข้อดี

  • ดีไซน์เรียบง่าย น่าใช้งาน
  • สวมใส่ง่าย
  • บันทึกติดตามแม่นยำ
  • Application ค่อนข้างละเอียด
  • แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 5-7 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

ข้อเสีย

  • ไม่มีหน้าจอ
  • ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆในท้องตลาด
  • วัดอัตราการเต้นของหัวใจไม่ต่อเนื่อง